ฟิสิกส์


                      

ไฟฟ้ากระแสสลับ (Alternating current)

                ไฟฟ้ากระแสสลับ (Alternating current) หมายถึง กระแสไฟฟ้าที่มีการสลับสับเปลี่ยนขั้วอยู่ตลอดเวลาอย่างสม่ำเสมอ ทิศทางการไหลของกระแสไฟฟ้าก็จะเปลี่ยน
สลับ ไปมาจากบวก-ลบ และจากลบ-บวก อยู่ตลอดเวลา ซึ่งไฟฟ้ากระแสสลับเป็นไฟฟ้าที่ใช้กันตามบ้านเรือนและโรงงานอุตสาหกรรมทั่วไป

            แหล่งกำเนิดไฟฟ้ากระแสสลับ

                ไฟฟ้ากระแสสลับเป็นกระแสไฟฟ้าที่เกิดจากการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนจากแหล่งจ่ายไฟไปยังอุปกรณ์ไฟฟ้าใดๆโดยมีการเคลื่อนที่กลับไปกลับมาตลอดเวลา สำหรับ

แหล่งจ่ายไฟนั้นมาจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากระแสสลับชนิดหนึ่งเฟสหรือเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากระแสสลับชนิดสามเฟส


        1. ไฟฟ้ากระแสสลับเฟสเดียว (Single Phase)


                ลักษณะการเกิดไฟฟ้ากระแสสลับ คือ ขดลวดชุดเดียวหมุนตัดเส้นแรงแม่เหล็ก เกิดแรงดันกระแสไฟฟ้า ทำให้กระแสไหลไปยังวงจร ภายนอก โดยผ่านวงแหวน 
และแปลงถ่านดังกล่าวมาแล้ว จะเห็นได้ว่าเมื่อออกแรงหมุนลวดตัวนำได้ รอบ จะได้กระแสไฟฟ้าชุดเดียวเท่านั้น ถ้าต้องการให้ได้ปริมาณกระแสไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ก็ต้องใช้ลวดนำ
หลายชุดไว้บนแกนที่หมุน ดังนั้นในการออกแบบขดลวดของเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากระแสสลับถ้าหากออกแบบขดลวดบนแกนให้เพิ่มขึ้นอีก 1 ชุด แล้วจะได้กำลังไฟฟ้าเพิ่มขึ้น


        2. ไฟฟ้ากระแสสลับสามเฟส (Three Phase)

                เป็นการพัฒนามาจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากระแสสลับชนิดสองเฟส โดยการออกแบบจัดวางขดลวดบนแกนที่หมุนของเครื่องกำเนิดนั้น เป็น ชุด ซึ่งแต่ละชุดนั้นวางห่าง
กัน 120 องศาทางไฟฟ้า ไฟฟ้ากระแสสลับที่ใช้ในบ้านพักอาศัย ส่วนใหญ่ใช้ไฟฟ้ากระแสสลับเฟสเดียว (SinglePhase) ระบบการส่งไฟฟ้าจะใช้ สายไฟฟ้า สายคือ สายไฟฟ้า 1
เส้น และสายศูนย์ (นิวทรอล) หรือเราเรียกกันว่า สายดินอีก สาย สำหรับบ้านพักอาศัยในเมืองบางแห่งอาจจะใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดพิเศษ จะต้องใช้ไฟฟ้าชนิดสามเฟส ซึ่งจะให้
กำลังมากกว่า เช่น มอเตอร์เครื่องสูบน้ำในการบำบัดน้ำเสียลิฟต์ของอาคารสูง ๆ เป็นต้น


                            การไหลของกระแสสลับกลับไปกลับมาครบ รอบ เรียกว่า ไซเคิล (Cycle) หรือ รูปคลื่น และจำนวนรูปคลื่นทั้งหมดในเวลาที่ผ่านไป 1 วินาที เรียกว่า ความถี่ 
(Frequency) ซึ่งความถี่ไฟฟ้ามีหน่วยวัดเป็น รอบต่อวินาที หรือ รูปคลื่นต่อวินาที หรือไซเคิลต่อวินาที มีหน่วยย่อเป็น "เฮิรตซ์" (Hertz) สำหรับความถี่ไฟฟ้าในประเทศไทยเท่ากับ 50 
เฮิรตซ์ สำหรับบางประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา จะมีค่า 60 Hz
                            ไฟฟ้ากระแสสลับที่มีรูปคลื่นของกระแสไฟฟ้าเพียง รูปคลื่น เราเรียกว่า ไฟฟ้ากระแสสลับ เฟส (Single phase) และถ้าเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากำเนิดไฟฟ้าออกมา
พร้อมกัน รูปคลื่น เราก็เรียกว่า ไฟฟ้ากระแสสลับ เฟส และถ้ามี รูปคลื่น เราก็เรียกว่า ไฟฟ้ากระแสสลับ เฟส ดังรูปเป็นไฟฟ้ากระแสสลับ เฟส ซึ่งเรานิยมใช้กันอยู่ใน
ปัจจุบันเพราะให้แรงดันไฟฟ้าได้ ระดับคือ 380 โวลต์ และ 220 โวลต์ รูปคลื่นแต่ละรูปคลื่นเรียกว่า เฟสเฟสและเฟสตามลำดับ






                        แบตเตอรี่ เป็นแหล่งกำเนิดไฟฟ้าที่จ่ายแรงเคลื่อนไฟฟ้า (emf) ค่าสม่ำเสมอและมีค่าคงตัว ส่วนแหล่งกำเนิดไฟฟ้ากระแสสลับ (ac source)เป็นแหล่งกำเนิดไฟฟ้าที่จ่าย
แรงเคลื่อนไฟฟ้า (emf) หรือแรงดันไฟฟ้า (Voltage) เปลี่ยนแปลงตามเวลา(ในรูปฟังก์ชันsine ของ ωt )

            คุณสมบัติของไฟฟ้ากระแสสลับ
                1.  สามารถส่งไปในที่ไกล ๆ ได้ดี กำลังไม่ตก
                2.  สามารถแปลงแรงดันให้สูงขึ้นหรือต่ำลงได้ตามต้องการโดยการใช้หม้อแปลง (Transformer)

            อุปกรณ์ในวงจรไฟฟ้ากระแสสลับ
                ตัวต้านทาน (Resistor : R)  ค่าความต้านทานมีหน่วยเป็น โอห์ม (Ohm : Ω)

        
                                สัญลักษณ์ที่ใช้ในวงจร
                ตัวเก็บประจุ (Capacitor : C) ค่าความจุไฟฟ้ามีหน่วยเป็น ฟารัด (Farad :F)


                                สัญลักษณ์ที่ใช้ในวงจร




            ขดลวดเหนี่ยวนำ (Inductor : L)  ค่าความเหนี่ยวนำมีหน่วยเป็น เฮนรี (Henry : H)




                                สัญลักษณ์ที่ใช้ในวงจร




            เฟส และมุมเฟส

                 เฟส (Phase) 

                    เมื่อเขียนกราฟระหว่าง sinωกับ จะเรียกตำแหน่งต่าง ๆ บนเส้นกราฟว่า เฟส(phase)โดยที่ ที่เวลา t = 0 ค่า sinωมีค่าเป็นศูนย์ จะมีเฟสเท่ากับ ศูนย์และเมื่อเวลาผ่าน
ไป sinωมีค่าสูงสุดเป็นครั้งแรก (จุด A) จะมีเฟส เท่ากับ π/2
            เฟสนำและเฟสตาม




                                   เมื่อเทียบกับ sinωแล้วจะมีเฟสตามอยู่ π/2 เรเดียน


                                 เมื่อเทียบกับ sinωแล้วจะมีเฟสนำอยู่ π/2 เรเดียน


                        มุมเฟส (Phase angle)
                                                                                    

                                                                                      






                ตัวเก็บประจุ ในวงจรไฟฟ้ากระแสสลับ ทำให้กระแสมีเฟสนำ Voltage อยู่ 90°

                เนื่องจากกระแสที่ไหลผ่านตัวเก็บประจุจะทำให้เกิดประจุสะสมที่เพลทของตัว เก็บประจุเป็นผลให้เกิด Voltage ตกคร่อมตัวเก็บประจุซึ่งเป็นสัดส่วนโดยตรงกับประจุที่สะสม (V = q/C)และกระแสจะไหลได้น้อยลงเมื่อมีประจุสะสมมากขึ้น

                          ขดลวดเหนี่ยวนำ ในวงจรไฟฟ้ากระแสสลับ ทำให้กระแสมีเฟสตาม Voltage อยู่ 90°

                                                                                     
                                          Inductivereactance, XL  =   ωL
                                 Capacitive reactance, XC   =  1/
ωC
                                 ไฟฟ้ากระแสตรง    ω   =  0
                                 XL   =   0
Ω     และ    XC   =   

                      วงจรไฟฟ้าที่มีตัวต้านทาน (R) อย่างเดียว


                    แรงดันไฟฟ้าคร่อมตัวต้านทานไฟฟ้าจะมีค่าเปลี่ยนแปลงเหมือนกับกระแสไฟฟ้า I = V/R = Imax sinωt  การเปลี่ยนแปลงของแรงดันไฟฟ้ามีเครื่องหมายเหมือนกับการเปลี่ยนแปลงของกระแสไฟฟ้าแรงดันไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้ามีเฟสตรงกัน (in phase) และแอมพลิจูดอยู่ที่เวลาเดียวกัน
                พิจารณาวงจรไฟฟ้าที่มีเพียงแหล่งกำเนิดไฟฟ้ากระแสสลับและตัวต้านทานตัวเดียวจะพบว่า กระแสที่ไหลผ่านวงจรเป็นตามสมการ


    ให้                                  i    =  กระแสไฟฟ้าขณะใด ๆ ในวงจร
                                          R    =  ค่าความต้านทาน
                                        VR  =  ความต่างศักย์ที่ตกคร่อมความต้านทานขณะใด ๆ  =  iR
                                        Vm  =  แรงเคลื่อนไฟฟ้าสูงสุดของเครื่องกำเนิดไฟฟ้า
                                           
                                                                     


               

 เครื่องกำเนิดไฟฟ้ากระแสสลับ มีเแรงเคลื่อนไฟฟ้าขณะใด ๆ เป็น
                    
                        V = Vmsinωt

               ความต่างศักย์ตกคร่อมตัวต้านทานขณะใด ๆ มีค่าเท่ากับแรงเคลื่อนไฟฟ้าของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเสมอ 
          
    ดังนั้น          
                  VR = V = Vmsinωt
                    iR  = Vmsin
ω
t
                    i = Vmsin
ω
t/R

                แต่ sin
ω
มีค่ามากที่สุดเท่ากับ ดังนั้น กระแสไฟฟ้าที่มากที่สุดในวงจร (Im)จะมีค่าเท่ากับ Vm/Rจึงสามารถเขียนสมการของกระแสไฟฟ้าที่เวลาใด ๆ ได้เป็น
i=Imsinωtซึ่งถ้าเขียนกราฟความต่างศักย์ที่คร่อมตัวต้านทานและกระแสที่ไหลผ่านตัวต้านทานเทียบกับเวลาจะได้ดังนี้

                         จากรูปสรุปได้ว่า"กระแสที่ผ่านตัวต้านทานมีเฟสตรงกันกับความต่างศักย์ที่คร่อมตัวต้านทาน"
    

            วงจรไฟฟ้าที่มีตัวเก็บประจุ (C) อย่างเดียว 


                                       
                                                                                                         
                                                                                                         
                พิจารณาวงจรไฟฟ้าที่มีเพียงแหล่งกำเนิดไฟฟ้ากระแสสลับและตัวเหนี่ยวนำตัวเดียวจะพบว่า กระแสที่ไหลผ่านวงจรเป็นตามสมการ
      ให้                           i  =  กระแสไฟฟ้าขณะใด ๆ ในวงจร
                                    C  =  ค่าความจุของตัวเก็บประจุ
                                VC  =  ความต่างศักย์ที่ตกคร่อมตัวเก็บประจุขณะใด ๆ

                 ความ
ต่างศักย์ที่ตกคร่อมตัวเก็บประจุขณะใด ๆ มีค่าเท่ากับแรงเคลื่อนไฟฟ้าของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเสมอ ดังนั้น
                                VC  =  V  =  Vmsin
ω
t
                                q/C  =  Vmsin
ω
t
                                 q  = (CVm)sin
ω
t
                            dq/dt  =  d(CVm)sin
ω
t / dt
                              i  =  (
ωC)Vm cosωt  =  Vm/(1/ωC)cosω
t
                ปริมาณ 1/
ωเรียกว่า ความต้านทานแห่งความจุ (capacitive reactance)เขียนแทนด้วย XC ดังนั้น
                              i   =  Vm/XC cos
ωt  =  Imsin(π/2+ω
t)
                                 i   =  Imsin(
ωt+π/2) 

        ซึ่งถ้าเขียนกราฟความต่างศักย์ที่คร่อมตัวต้านทานและกระแสที่ไหลผ่านตัวต้านทานเทียบกับเวลาจะได้ดังนี้

         จากรูปจะเห็นได้ว่า กระแสไฟฟ้า นำหน้าความต่างศักย์ VC เป็นมุม π/2 หรือ 90° หรือตามหลังความต่างศักย์กระแสเป็นมุม 90° มุมระหว่างกระแสและความต่างศักย์ในวงจรนี้ เรียกว่า มุมเฟส (phase angle) เขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ Φ


            

            ประโยชน์ของไฟฟ้ากระแสสลับ
            1. ใช้กับระบบแสงสว่างได้ดี  
            2. ประหยัดค่าใช้จ่ายและผลิตได้ง่าย
            3. ใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ต้องการกำลังมากๆ
            4. ใช้กับเครื่องเชื่อม

            5. ใช้กับเครื่องอำนวยความสะดวกและอุปกรณ์ไฟฟ้าได้เกือบทุกชนิด        หน้าที่ของ 
R L และC ในวงจรไฟฟ้า
        ตัวต้านทาน     Resistance : R
        ตัวเหนี่ยวนำ    Inductive reactance : XL
        ตัวเก็บประจุ    Capacitive reactance : XC
                R , L และ ทำหน้าที่ลดปริมาณและเปลี่ยนเฟสของกระแสไฟฟ้าในวงจรให้มีค่าที่ต้องการ กล่าวคือ R , L และ แสดงการต้านทานการไหลของกระแสไฟฟ้า นอกจากนี้ และ ยังสามารถเปลี่ยนเฟสของกระแสไฟฟ้าได้ด้วย
                ขดลวดเหนี่ยวนำ และตัวเก็บประจุ ในวงจรไฟฟ้ากระแสสลับ จะทำให้กระแส และโวลเตจมีค่าสูงสุดไม่พร้อมกัน กล่าวได้ว่ากระแสและโวลเตจมีเฟสต่างกัน โดยเฟสจะมีค่าต่างกันน้อยกว่าหรือเท่ากับ 90° เสมอ

                    อิมพีแดนซ์ (Impedance)

                    Impedance,z = Voltage/Current
                    มีหน่วยเป็นโอห์ม (
Ω)



                                                                                   



                                                                                     



                

                (1)   ตัวต้านทาน

                (2)  ตัวเก็บประจุไฟฟ้า

                (3)  ขดลวดเหนี่ยวนำไฟฟ้า

                เมื่อนำเอาอุปกรณ์เหล่านี้มาต่อกันเป็นวงจร กระแสที่ไหลในวงจร ค่าความต่างศักย์ที่ตกคร่อมอุปกรณ์ และมุมเฟสระหว่างกระแสและความต่างศักย์จะมีลักษณะต่าง ๆ กันออกไป


        วงจรไฟฟ้าที่มีขดลวดเหนี่ยวนำ (
L)อย่างเดียว



พิจารณาวงจรไฟฟ้าที่มีเพียงแหล่งกำเนิดไฟสลับและตัวเหนี่ยวนำตัวเดียว

 
  





              จะพบว่า กระแสที่ไหลผ่านวงจรเป็นตามสมการ
            ให้ 
 i  =  กระแสในวงจรขณะใด ๆ
            L  =  ค่าความเหนี่ยวนำ
            VL  =  ค่าความต่างศักย์ที่ตกคร่อมขดลวดเหนี่ยวนำ
            ความต่างศักย์ที่ตกคร่อมขดลวดเหนี่ยวนำขณะใด ๆ จะเท่ากับแรงเคลื่อนไฟฟ้าของเครื่องกำเนิดไฟฟ้า 
            VL  =  V  =  Vmsin
ωt
            L di/dt  =   Vmsin
ωt
            di  =  1/L Vmsin
ωtdt       ∫di  =  Vm/L 0t sinωtdt  = Vm/L0tsinωt  1/ω dωt
            i  =  Vm/L [-cos
ω
t]
            ปริมาณ 
ωเรียกว่า ความต้านทานแห่งการเหนี่ยวนำ (Inductive reactance) เขียนแทนด้วย XL
    ดังนั้น สมการแสดงกระแสที่ไหลในวงจร เขียนได้เป็น
            i  =  -Vm/XL cos
ωt
            กระแสไฟฟ้าจะมีค่ามากที่สุด เมื่อ 
ιcosωtι  = 1 

จะได้
            Im  =  Vm/XL cos
ωt
            จะได้ 
 i  =  -Imcosωt   =  -Imsin(π/2-ωt   =  -Imsin[-(ωt-π/2)]
                        i  =  Imsin(
ωt-π
/2)  

                ซึ่งถ้าเขียนกราฟความต่างศักย์ที่คร่อมตัวต้านทานและกระแสที่ไหลผ่านตัวต้าน ทานเทียบกับเวลาจะได้ดังนี้ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงแบบ sine curve เหมือนกัน แต่มีphase 

ต่างกัน คือ กระแสไฟฟ้ามีเฟสตามหลังความต่างศักย์เป็นมุม π/2 หรือ 90°



            เครื่องตัดไฟฟ้า
                เครื่องตัดไฟฟ้ารั่วหรือที่รู้จักกันว่า "เครื่องกันไฟฟ้าดูด" นั่นคือ เครื่องตัดไฟฟ้าอัตโนมัติที่จะทำงานตัดไฟฟ้าเมื่อกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านเข้า และกลับออกจากเครื่องฯ มีค่า
ไม่เท่ากัน (นั่นคือมีกระแสไฟฟ้าบางส่วนรั่วหายไป)

    
            ประโยชน์ของเครื่องตัดไฟฟ้ารั่ว
                ใช้สำหรับตัดไฟฟ้าเมื่อมีไฟฟ้ารั่วเกิดขึ้นกับวงจรไฟฟ้าและอุปกรณ์ไฟฟ้า (ป้องกันอัคคีภัย) และใช้สำหรับตัดไฟฟ้าเมื่อมีไฟฟ้ารั่วไหลผ่านร่างกาย (ป้องกันไฟฟ้าดูด)
    
            ประเภทของเครื่องตัดไฟฟ้ารั่ว
            เครื่องตัดไฟฟ้ารั่วมีอยู่หลายประเภทขึ้นอยู่กับคุณสมบัติการทำงานในที่นี้จะกำหนดเป็นประเภทใหญ่ ๆ ประเภทคือ
            1.  เครื่องตัดไฟฟ้ารั่วชนิดที่สามารถตัดกระแสลัดวงจรได้
                เครื่องชนิดนี้สามารถใช้งานได้โดยอิสระตัดได้ทั้งไฟฟ้ารั่วและกระแสลัดวงจร 
           2.  เครื่องตัดไฟฟ้ารั่วชนิดที่ไม่สามารถตัดกระแสลัดวงจรได้
                - ต้องใช้ร่วมกับฟิวส์หรือเครื่องตัดกระแสลัดวงจรช่วยเสริมในกรณีที่ต้องตัดกระแสลัดวงจรด้วย

            ความแตกต่างระหว่างการใช้เครื่องตัดไฟฟ้าและสายดิน

                ต้องใช้ร่วมกับฟิวส์หรือเครื่องตัดกระแสลัดวงจรช่วยเสริมในกรณีที่ต้องตัดกระแสลัดวงจรด้วย

                - สายดิน เป็นความจำเป็นอันดับแรกที่ผู้ใช้ไฟฟ้าจะต้องมีสำหรับป้องกันไฟฟ้าดูด เพื่อให้กระแสไฟฟ้ารั่วไหลลงสายดินโดยไม่ผ่านร่างกาย (ไฟฟ้าไม่ดูด)

               - เครื่องตัดไฟฟ้ารั่วเมื่อใช้กับระบบไฟฟ้าที่มีสายดินจะเป็นมาตรการเสริม เพื่อให้มีการตัดไฟฟ้ารั่วก่อนที่จะเป็นอันตราย กับระบบไฟฟ้าหรือกับมนุษย์

              - เครื่องตัดไฟฟ้ารั่วในระบบไฟฟ้าที่ไม่มีสายดิน จะทำงานก็ต่อเมื่อมีไฟฟ้ารั่วไหลผ่านร่างกายแล้ว (ต้องถูกไฟฟ้าดูดก่อน) ดังนั้น ความปลอดภัยจึงขึ้นอยู่กับความไวในการ

             ตัดกระแสไฟฟ้า

              - ระบบไฟฟ้าที่ดีจึงต้องมีทั้งระบบสายดินและเครื่องตัดไฟฟ้ารั่ว เพื่อความปลอดภัยทั้งจากอัคคีภัยและการถูกไฟฟ้าดูด


            คุณสมบัติของเครื่องตัดไฟฟ้ารั่วที่ใช้สำหรับป้องกันไฟฟ้าดูด

            •  ขนาดกระแสไฟฟ้ารั่วที่กำหนด (IAN) ต้องไม่เกิน 30 mA (มิลลิแอมป์)

             •  ระยะเวลาในการตัดกระแสไฟฟ้ารั่ว ต้องไม่เกิน 0.04 วินาทีที่ไฟฟ้ารั่ว เท่า (5 IAN)

             •  เครื่องตัดไฟฟ้ารั่ว ต้องไม่ตัดไฟฟ้าเมื่อมีไฟฟ้ารั่วเพียงครึ่งหนึ่ง (0.5 IAN)

             •  ควรติดตั้งเพื่อใช้ป้องกันอันตรายเฉพาะจุด ไม่ควรติดตั้งไว้ที่เมนสวิตช์ เช่น ให้ติดตั้งในวงจรเต้ารับที่เดินสายไฟฟ้าไปใช้งานภายนอกวงจรเต้ารับที่ใช้ใน ห้องครัว/ห้องน้ำ/

ห้องที่มีเด็ก ๆ วงจรย่อยที่ต้องการความปลอดภัยอื่นๆ



   
                             สามารถดูวิดิโอเพิ่มเติมได้


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น